เครดิต...http://www.meepoohclub.com/index.php?topic=649.0

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

มัสยิดทองคำ Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque (ประเทศบรูไน)

มัสยิดทองคำ Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque (ประเทศบรูไน)

                                       
     มัสยิดทองคำ Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque มัสยิดที่สง่างาม และศักดิ์สิทธิ์ของชาวบรูไน ที่ใช้งบประมาณในการสร้างมหาศาล โดยมีการนำเข้าวัสดุการก่อสร้างและตกแต่งจากทั่วทุกมุมโลกใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 7 ปี มีห้องสวดมนต์ 2 ห้องแยกชายและหญิงบันไดทางขึ้นแต่ละชั้นจะมี 29 ขั้น ห้องละหมาดด้านบนตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยพรมสีเหลืองทองดูสว่างไสว จากนั้นนำท่านชมมัสยิด โอมาร์ อาลี ไซฟูดติน มัสยิดเก่าแก่อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบรูไนตั้งอยู่ใจกลางกรุงบันดาร์ เสรีเบกาวัน มัสยิดหลังนี้ออกแบบและดำเนการสร้างโดยสุลต่านโอมาร์ อาลี ไซฟัดดินที่ 3 ผู้ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปนิกสมัยใหม่ของบรูไน และเป็นพระราชบิดาของสุลต่านองค์ปัจจุบัน และมัสยินนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1958 มีความงดงามจนได้ชื่อว่า มินิทัชมาฮาล

                                                              เอกลักษณ์  
                         เป็นศูนย์กลางด้านศิลปวัฒนธรรม (Center of Arts) ในระดับชาติ

วิสัยทัศน์      
    
     ภายใน 1 ปี เป็นองค์กรด้านวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม

พันธกิจ
๑. ด้านการวิจัย พัฒนาบุคลากร (Standard) เป็นผู้สนับสนุนและดำเนินการวิจัยด้านศิลปวัฒนธรรมภายใต้กระบวนการ "เรียนรู้"
๒. บริการวิชาการ พัฒนาองค์กรเป็นฐานความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม (Center of Arts) ภายใต้กระบวนการ "เสริมแรง"
๓. ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม พัฒนาและสร้างเครือข่าย (Network) ด้านศิลปวัฒนธรรมผ่านกระบวนการ "แบ่งปัน"
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินภารกิจ และประสานความร่วมมือด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมภายในมหาวิทยาลัย
๒. เพื่อเป็นหน่วยงานประสานความร่วมมือ และพัฒนาเครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรด้านศิลปวัฒนธรรมและอารยธรรมศึกษาภายนอกมหาวิทยาลัย
๓. เพื่อเป็นองค์กรนำด้านการวิจัย และศูนย์กลางองค์ความรู้ทางด้านอารยธรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง - สาละวิน
๔.เพื่อเป็นองค์กรที่พัฒนาองค์ความรู้ และให้บริการวิชาการด้านอารยธรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง - สาละวิน ที่สามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
๕.เพื่อเป็นองค์กรที่เสริมสร้างจิตสำนึกด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและการสร้างอัตลักษณ์เชิงอารยธรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง - สาละวิน รวมทั้งส่งเสริมและเผยแพร่ภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคยุทธศาสตร์
   วิจัยอารยธรรมศึกษา
- สนับสนุนการศึกษาค้นคว้าและวิจัยในระดับต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการในการ
- พัฒนาชุมชน ภูมิภาค ระดับชาติ และนานาชาติศึกษา สืบค้น รวบรวม และวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมที่เป็นพื้นฐานต่อการเข้าใจสถานการณ์ วิถีชีวิตของชาติพันธุ์วรรณาในเขตลุ่มน้ำโขง-สาละวิน

   บริการวิชาการสู่ชุมชน
- สนับสนุนให้บุคลากรดำเนินกิจกรรมเพื่อให้บริการ พัฒนาและสร้างสรรค์ชุมชน ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับสากลสู่ชุมชน
- สนับสนุนให้บุคลากรได้ออกปฏิบัติงาน ให้คำปรึกษาและแนะนำความรู้ทางด้านอารยธรรมในลุ่มน้ำโขง-สาละวินแก่ชุมชน ทั้งในและนอกสถานที่ ตลอดจนเข้าร่วมบริการวิชาการทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน
- สนับสนุนให้บุคลากรดำเนินงานด้านอารยธรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง-สาละวินที่เชื่อมโยงกับองค์กรของภาครัฐและเอกชน
- ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายนอกและภายในในการพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้

    ด้านพิพิธภัณฑ์
- หอศิลป์มหาวิทยาลัยนเรศวรจัดแสดงผลงานศิลปกรรมของศิลปินรุ่นเยาว์ ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินระดับชาติ ศิลปินระดับนานาชาติ เพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนา และสืบสานงานศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ
- พิพิธภัณฑ์ผ้า แหล่งสารสนเทศทางวิชาการด้านผ้าไทย ประกอบด้วยห้องพิพิธภัณฑ์ผ้าไทครั่ง ห้องพิพิธภัณฑ์ผ้าจิตรลดา ห้องนิทรรศการหมุนเวียน และมุมบริการข้อมูลสารสนเทศ
- พิพิธภัณฑ์ชีวิตจัดแสดงวิถีชีวิตของคนไทยด้านการทอผ้าฝ้าย ผ้าไหม ที่มีกระบวนการผลิตผ้า ตั้งแต่การปลูกฝ้าย หม่อน จนถึงการทอผ้า
- สวนประติมาธรรม จัดแสดงผลงานประติมากรรมของศิลปินทั่วประเทศ พร้อมให้บริการสถานที่สำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ แก่หน่วยงานทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย
- โครงการจัดตั้งหอประวัติมหาวิทยาลัยนเรศวรและพิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตในเขตลุ่มน้ำโขง-สาละวิน
- สนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและนวัตกรรมสารสนเทศทางด้านพิพิธภัณฑ์ และนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน
- สนับสนุนให้มีการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการทางด้านอารยธรรมวิถีชีวิตลุ่มน้ำโขง-สาละวินสู่สาธารณชน
ที่มา:https://sites.google.com

10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

Click here to see a large version
รูปภาพ 10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

Click here to see a large version
รูปภาพ 10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

Click here to see a large version
รูปภาพ 10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

Click here to see a large version
รูปภาพ 10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

Click here to see a large version
รูปภาพ 10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

Click here to see a large version
รูปภาพ 10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

Click here to see a large version
รูปภาพ 10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

Click here to see a large version
รูปภาพ 10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

Click here to see a large version
รูปภาพ 10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

Click here to see a large version
รูปภาพ 10 สถานที่สำคัญในอาเซียน

มัสยิดสำคัญและสถานที่ประวัติศาสตร์ในโลกอิสลาม




เริ่มแรกเป็นที่ไหนไม่ได้ ต้องที่ซาอุดี้ฯ
สถานที่ที่ชาวมุสลิมทุกคนใฝ่ฝันที่จะไป สักครั้งในชีวิต นั้นคือ มักกะฮ์,เมกกะ มหานครที่ไม่เคยหลับไหล
งดดราม่าและขอความกรุณามีมารยาทในการแสดงคห

ถ้าเนื้อหาผิดถูกยังไง เพื่อนสมาชิกมุสลิมช่วยเสริมได้น่ะครับ
                                     
มัสยิดฮารอม
เป็นมัสยิดใหญ่ใจกลางมหานครมักกะฮ์ที่เป็นสถานที่ตั้งของกะอบะฮ หรือบัยตุลลอฮ์(บ้านแห่งพระเจ้า)  รวมทั้งบ่อน้ำซัมซัม
และมะกอมอิบรอฮีม(สถานที่อับราฮัมยืน) เป็นมัสยิดที่สำคัญที่สุดของอิสลาม มีสถานที่สะแอ(การเดินไปมาระหว่างเนินเขา2ลูก)
คือเนินเขาศอฟา กับเนินเขามัรวะฮ์ สถานที่ละหมาดทุกๆเวลา และเป็นสถานที่ ที่ทำพิธีอุมเราะห์และพิธีฮัจย์
                                   

มัสยิดฮารอม ยามค่ำคืน


                                    
                                    


มัสยิดฮารอม ยามค่ำคืน

                                    



กะอ์บะฮ์ 
สิ่งก่อสร้างรูปทรงสี่เหลี่ยม ลูกบาศก์ กะอ์บะฮ์ตั้งอยู่ในใจกลางมัสยิดฮารอม เป็นกิบลัต (ชุมทิศ, จุดหมายในการผินหน้าไป)
ของมุสลิมขณะละหมาดและเป็นสถานที่ฏอวาฟ (เวียนรอบ) ในการประกอบพิธีอุมเราะฮ์และฮัจญ์
เป็นสถานที่เคารพสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้าท่านนบีอิบรอฮิม(อับราฮัม)และ นบีอิสมาอีล(อิสมาแอล)
บุตรชายของท่านช่วยกันสร้างกะบะฮ์ขึ้น จากรากเดิมที่มีเหลืออยู่ตามที่ได้รับคำสั่งจาก อัลลอฮ์ (ซ.บ) 200ปี ก่อนคริตกาล
กะบะฮ์ มีชื่อเรียกอยู่หลายอย่าง ที่ปรากฎอยู่ในกุรอาน เช่น อัลบัยตุลฮารอม อัลมัสญิดิลฮารอม บัยตุลอติก
แต่ชื่อที่รู้จักกันมากที่สุดคือ บัยตุลลอฮ์ แปลว่า บ้านของอัลลอฮ์ คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดว่า กะบะฮ์คือหินดำ
แต่อันที่จริงกะบะฮ์คือ อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมที่สร้างมาจากก้อนหินจากภูเขา ญาบัลกะบะฮ์ รอบๆเมืองมักกะฮ์
และมีผ้าคลุมกะบะฮ์เป็นสีดำจึงมักเข้าใจว่า นั้นคือหินดำ
โปรดสังเกตใต้ผ้าคลุมกะบะฮ์ที่มีสีขาวทับอยู่จะเห็นเป็นสีน้ำตาลเข้ม นั้นแหละครับคือตัวอาคารกะบะฮ์


                                  
                                  


                                                                              ลานฎอวาฟ 
                                    



หินดำ


หินดำหรือ ฮาญารออัสวัด ตั้งอยู่ ณ มุมหินดำระหว่างประตูกะบะฮ์ เป็นจุดที่กำหนดเริ่มฎอวาฟ(เวียนรอบ)และสิ้นสุดการฎอวาฟ
                                 

กะบะฮ์เมื่อปราศจากผ้ากิสวะฮ์(ผ้าคลุม)

                                            



ประตูกะบะฮ์

ประตูกะบะฮ์เป็นประตู ที่สร้างจากไม้มะค่าจากเมืองไทยปิดด้วยเงินและทองคำบริสุทธิ์จากช่างคนไทยเราเหมือนกัน
ที่ได้รับการบูรณะครั้งล่าสุด


                                     
                                     


สะแอ(เดินไปมาระหว่างเนินเขา2ลูก) ซอฟา-มัรวะฮ์
ในประวัติศาสตร์  พระนางฮาญัร(ฮาการ์) วิ่งหาน้ำไปมาระหว่างเนินเขาซอฟากับเนินเขามัรวะฮ์ เพื่อให้อิสมาอีล(อิสมาแอล)
ลูกของท่านได้ดื่มกินเพื่อดับกระหาย อิสมาอีลที่กำลังกระหายน้ำอย่างจัดนั้นก็ร้องไห้ และเท้าก็ดันพื้นจนเป็นร่อง สักครู่ก็มีตาน้ำไหลออกมา เมื่อพระนางฮาญัรกลับมาดูลูก ก็เห็นว่าบุตรชายตัวน้อย ๆ ของตนกำลังก่อทรายกั้นน้ำไม่ให้ไหลไปทางอื่น ปากก็กล่าวว่า ซัมซัม ซัมซัม
แปลว่า ล้อม ๆ ล้อม ๆ ตั้งแต่นั้นมาก็มีชาวอาหรับทราบข่าวของตาน้ำ ที่กลายเป็นบ่อน้ำที่มีน้ำมหาศาล
ก็พาปักหลักที่นั่นจนแผ่นดินแห่งบักกะฮ์ (ชื่อเดิมของมักกะฮ์)ได้กลายเป็นเมือง และเป็นศูนย์กลางของอารเบีย


                                    
                                    


การเดินสะแอระหว่างซอฟา และ มัรวะห์ เป็นการแสดงถึงความปรารถนาซึ่งความเมตตาและการช่วยเหลือจากอัลลอฮ์
อีกทั้งการเดินสะแอนั้นยังเป็นการย้อนระลึกถึงประวัติศาสตร์อิสลามที่เกี่ยว กับพระนางฮาญัร(ฮาการ์)


และท่านนบีอิสมาอีล(อิสมาแอล)อีกด้วย การเดินสะแอเป็นขั้นตอนที่กำหนดให้ผู้ทำอุมเราะฮ์และพิธีฮัจย์ต้องกระทำ


ภายในลานสะแอ
                                        


ซัมซัม บ่อน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง ของขวัญจากอัลลอฮ์แด่ผู้ศรัทธา
                               


ประวัติบ่อน้ำซัมซัม เกิดมาจากเรื่องเดียวกับการสะแอ
ซัมซัม เป็นบ่อน้ำที่มีความลึกราว 30 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 1.08 และ 2.66 เมตร ที่มีตาน้ำไหลแรง
มีระดับน้ำ 3.23 เมตรใต้ระดับพื้นดิน ได้มีการทดลองดูดน้ำซัมซัมออกจากบ่อด้วยปั๊มน้ำที่มีความแรง 8000 ลิตรต่อวินาที
เป็นเวลามากกว่า 24 ชม. ปรากฏว่าน้ำได้ลดลง 12.72 เมตรใต้ระดับพื้นดิน เมื่อเพิ่มเวลาดูดน้ำออกอีกไปอีก
ปรากฏว่าน้ำในบ่อลดเหลือ 13.39 เมตรใต้ระดับพื้นดิน และก็ไม่ลดอีกเลย แม้จะดูดน้ำออกตลอดเวลาก็ตาม
เมื่อปั๊มน้ำหยุดทำงาน น้ำในบ่อก็เอ่อขึ้นสู่ระดับปกติภายในเวลาเพียงแค่ 11 นาทีเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า
รอบ ๆ ข้างบ่อมีชั้นหินอุ้มน้ำ (aquifer) ที่มีน้ำสำรองมากมายไม่มีวันเหือดแห้ง
ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าบ่อน้ำซัมซัมเคยแห้งเลย
และเพียงพอสำหรับผู้คนเป็นล้านที่มาดื่มและอาบ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็ตาม
บ่อน้ำซัมซัมในปัจจุบันถูกปิดไว้ในห้องกระจกในห้องใต้ดิน ไม่ให้ผู้คนทั่วไปเข้าไปตักน้ำเหมือนเมื่อก่อน
น้ำซัมซัมถูกสูบออกมานอกมัสญิด เพื่อให้ผู้คนได้บรรจุภาชนะพากลับไปตามที่ต้องการ เจ้าหน้าที่จะบรรจุน้ำ
ในคูลเลอร์ให้ผู้คนในมัสญิดฮารอมได้ดื่มตลอดเวลา นอกจากนี้ยังขนส่งไปยังมัสยิดนาบาวีย์ในมาดีนะฮ์ด้วย
                                      



                                      


มะกอมอิบรอฮีม(สถานที่ยืนของอับราฮัม)
ก้อนหินที่เป็นที่ยืนของท่านนบีอิบรอฮีม ขณะที่ท่านก่อส่วนสูงของอาคาร กะอ์บะฮ์ ซึ่งมีรอยเท้าของท่านปรากฎอยู่ในเห็นจนถึงทุกวันนี้วัน
                                           


มะกอมอิบรอฮีม ซึ่งทางซาอุดี้ฯ ได้ทำที่ครอบมะกอมซึ่งทำด้วยทองคำครอบไว้ 
                                                    


เมาลิดนบีมุฮัมมัด(สถานที่ประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด)
ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นห้องสมุดของมักกะฮ์
                                          
ทุ่งอารอฟะฮ์
สถานที่นบีอดัม กับพระนางฮาวา(เอวา) ชายหญิงคนแรก
มาพบเจอกันครั้งแรกบนโลก หลังจากท่านทั้งสอง ถูกอัลลอฮขับไล่ออกจากสวรรค์ อัลลอฮนำนบีอดัม
ลงมาไว้ ณ แผ่นดินอินเดีย พระนางฮาวาถูกไว้ ณ ญิดดะห์ (เจดดาห์)ซาอุดี้ฯ ส่วนอิบลีส(ซาตาน)
ถูกไว้ในอิรัค ในทุ่งอารอฟะฮ์ จะมีภูเขาชื่อ ญะบัลเราะห์มะฮ์
ซึ่งเป็นภูเขาที่นบีอดัมได้เจอกับพระนางฮาวา ปัจจุบันทุ่งอารอฟะฮ์ เป็นเงื่อนไขการทำฮัจย์ที่


กำหนดให้ผู้แสวงบุญ(ฮุจยาต)ทุกคน ต้องมาวุกุฟ(พัก,สงบนิ่ง) ขอดุอา อภัยโทษ ณ สถานที่แห่งนี้

                                           


                                                                              ทุ่งอารอฟะฮ์ อีกรูป
                                        
ทุ่งมีนา

ทุ่งมีนา ยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นสถานที่ให้บรรดาผู้แสวงบุญทุกๆคนที่ทำฮัจย์ ต้องมาขว้างเสาหิน จำนวน3เสา
เสาล่ะ7ก้อน ณ สถานที่แห่งนี้ และเป็นที่มาของการเชืดสัตว์พลีทานของชาวมุสลิม ในวันอิดิลอัฎฮา (อีดใหญ่)
เมื่อถึงเทศกาลของการทำฮัจย์ มุสลิมที่แสวงบุญทุกคนจะเดินทางมาค้างแรม ณ ทุ่งมีนา เป็นเวลา 3 วัน หลังวันอีดใหญ่ไป


                                            
                                            


ขอเล่าแบบคราวๆเพราะประวัติยาวมากๆ ตามประวัติศาสตร์อิสลามที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์กุรอาน
อัลลอฮฺทรงต้องการ ที่จะทดสอบความศรัทธาของนบีอิบรอฮีม (หรืออับราฮัม) ดังนั้น คืนหนึ่งอัลลอฮฺ
จึงได้ทรงทำให้นบีอิบรอฮีม ฝันว่าพระองค์ทรงมีบัญชาให้ท่านเชือดอิสมาอีล(อิสมาแอล)ลูกชายของท่านเป็น
การพลีถวายให้แก่พระองค์ ในวันรุ่งขึ้น นบีอิบรอฮีม จึงได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้อิสมาอีลฟัง อิสมาอีลมิได้ตกใจกลัวต่อ
คำบอกเล่าดังกล่าวแต่ประการใด ซ้ำยังบอกแกนบีอิบรอฮีมผู้เป็นพ่อว่าหากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า


แล้วก็ขอให้พ่อปฏิบัติตามและ พ่อจะพบว่าฉันเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้อดทน" (กุรอาน 37:102)
                                       


ดังนั้น นบีอิบรอฮีมจึงได้นำอิสมาอีลไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อทำตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ในระหว่างทางนบีอิบรอฮีม
ได้ถูกมาร้าย(ซาตาน)ล่อลวงมิให้ท่านทำตามคำสั่งถึงสามครั้งในที่ต่างๆกัน แต่ท่านก็สามารถที่จะเอาชนะ
การล่อลวงของมารร้ายและใช้หินขว้างหินขับไล่มันไป 3ครั้ง (ที่มาของการขว้างเสาหินทั้ง3ต้น)
ในที่สุด เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งนบีอิบรอฮีม จะใช้เป็นที่เชือดบุตรและเตรียมจะลงมือเชือด
อัลลอฮฺก็ทรงเห็นว่านบีอิบรอฮีมเป็นผู้ศรัทธาที่พร้อมจะ ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์จริง
พระองค์จึงได้มีบัญชาให้เทวทูตญิบรีล(กาเบรียล) นำแกะมาให้นบีอิบรอฮีมเชือดแทน ลูกชายของท่านการเชือดสัตว์พลี
จึงเป็นที่ปฏิบัติอย่างหนึ่งในการประกอบพิธีฮัจญ์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้น ให้มุสลิมได้รำลึกถึงวีรประวัติแห่งความศรัทธา
ต่อพระเจ้าและการเสียสละ อันสูงส่งของนบีอิบรอฮีมและนบีอิสมาอีล หลังจากสมัยนบีอิบรอฮีม
การทำกุรบานได้ผิดไปจากเจตนารมณ์และการปฏิบัติดั้งเดิม กล่าวคือพวกชาวอาหรับ ก่อนหน้าสมัยท่านนบีมุฮัมมัด
บางพวกได้เชือดสัตว์พลีของจริงอยู่ แต่เจตนาในการเชือดนั้นเพื่อเป็นการ เซ่นสรวงเทวรูปที่พวกตนเคารพสักการะและเอาเลือดของสัตว์
ที่ตนเชือดนั้นสาดไปที่กำแพงกะบะฮ์ ส่วนเนื้อก็แจกให้คนจนเอาไปกิน มาถึงสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด หลังจากที่ได้พิชิตมักกะฮ์
และทำลายเทวรูปเจว็ดรอบกะอฺบะฮลงจนหมดสิ้น แล้วท่านก็ได้ปฏิรูปการทำฮัจย์ให้กลับสู่แนวทางที่ถูกต้อง
การทำกุรบานซึ่งเป็นหนึ่งในข้อปฏิบัติของการทำฮัจย์ก็ได้ถูกปฏิรูปให้กลับเข้าสู่เจตนาเดิมและวิธีการปฏิบัติที่แท้จริงของมัน
นั่นคือ การอุทิศให้แก่อัลลอฮฺ
ปัจจุบันสถานที่ไปขว้างเสาหินเรียกว่าญามาร๊อต ได้มีการขยายปรับปรุงออกไปอย่างมาก เพื่อรองรับฮุจยาดที่มีเพิ่มขึ้นทุกๆปี
                                      



                                       


เสาหิน3ต้น ที่ปรากฎ กายของชัยตอน(ซาตาน) ที่นบีอิบรอฮีมได้ขว้างหินไล่ขณะจะนำอิสมาอีลไปทำกุรบาน/


มาดีนะฮ์ อัลมูเนาวเราะฮ์ นครของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล)

มัสยิดกุบาอ์ มัสยิดหลังแรกในอิสลาม
เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด หยุดพักที่ตำบลกุบาอ์ ท่านก็ได้สร้างมัสยิดแห่งนี้ โดยท่านลงมือสร้างด้วยตัวท่านเอง
ร่วมกับบรรดาซอฮาบะห์(สหายของท่าน)


                                         
                                         
  
มัสยิดนาบาวีย์
เป็นมัสยิดที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ2ของอิสลาม รองจากอัลฮารอม ที่มักกะฮ์
เป็นหนึ่งมัสยิดที่สร้างในสมัยท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล) หลังจากท่านฮิจเราะฮ์(อพยพ) จากนครมักกะฮ์ มาสู่นครมาดีนะฮ์
                                         
                                            
หน้ามัสยิด
                                                      


มัสยิดกิบละตัยน์
                                                    
ที่มาของชื่อมัสยิดกิบละตัยน์(สองทิศ) ก็คือ ในระยะแรกนั้นท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) และบรรดามุสลิม
เมื่อละหมาดจะหันหน้าไปทางบัยตุลมักดิสหรือเยรูซาเลม  วันหนึ่งท่านนบีได้มาละหมาดปกติ ท่านหันหน้าไปทางบัยตุลมักดิส
เช่นที่เคยปฏิบัติมา ขณะที่ท่านทำละหมาดอยู่นั้น ได้มีโองการลงมายังท่านให้เปลี่ยนทิศจากบัยตุลมักดิสไป
เป็นบัยตุลลอฮ์ที่นครมักกะห์แทน ท่านจึงได้หันหน้าไปสู่บัยตุลลอฮ์ทันทีสำหรับรอกาอัต(จำนวนครั้งละหมาด)ที่เหลือ และมุสลิมก็หันหน้า
ไปทางมักกะฮ์จนถึงปัจจุบัน





ที่มา : http://pantip.com/

มัสยิดในประเทศไทย


                              มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี
1.มัสยิดกลางปัตตานี
มัสยิดกลางปัตตานีนับเป็นมัสยิดที่สวยงาม และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจ และศรัทธาและเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของผู้นับถือศาสนาอิสลามในภาคใต้ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย มัสยิดแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาว่าได้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2497 เนื่องจากรัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของศาสนาอิสลามซึ่งเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวปัตตานีส่วนใหญ่นับถืออย่างเคร่งครัด รวมทั้งมีชาวมุสลิมจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้ จึงเห็นสมควรให้จัดสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ ไว้เพื่อเป็นศูนย์กลางแก่ชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามทั่วประเทศ

มัสยิดแห่งนี้ได้ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2506 ในสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สถาปัตยกรรมของมัสยิดกลางนั้น เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้น ที่มีรูปทรงดูคล้ายกับทัชมาฮาลของอินเดียผสมกับวิหารแบบตะวันตก มีอาคารยอดโดมขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางและมีโดมบริวารทั้ง 4 ทิศ มีหอคอยอยู่สองข้างสูงเด่น ซึ่งเดิมใช้เป็นหอกลางสำหรับตีส่งสัญญาณเรียกให้ชาวมุสลิมมาร่วมปฏิบัติศาสนกิจ แต่ปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งลำโพงเครื่องขยายเสียงแทน ภายในมัสยิดมีลักษณะเป็นห้องโถงมีระเบียงสองข้าง ภายในห้องโถงด้านใน มีบัลลังก์ทรงสูงและแคบเป็นที่สำหรับ “คอฏีบ” ยืนอ่านคุฏบะฮ์การละหมาดในวันศุกร์

ในปัจจุบันมัสยิดกลางปัตตานีได้ใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจสำคัญ คือการละหมาดวันละ 5 เวลา เป็นกิจวัตรประจำวัน และใช้ในการละหมดในวันศุกร์รวมถึงการละหมาดในวันตรุษต่างๆ ซึ่งมีชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ปัตตานีรวมถึงชาวมุสลิมที่มาจากพื้นที่อื่นทั้งในและต่างประเทศมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในวันศุกร์และวันเสาร์ จะมีการบรรยายธรรมะซึ่งมีผู้เข้าร่วมรับฟังกว่า 3,000 คน อันเป็นการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในหลักการของศาสนา และเพื่อความถูกต้องในการบำเพ็ญศาสนกิจเป็นประจำทุกสัปดาห์
สถานที่ตั้ง
ถ.ยะรัง ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี
วันและเวลาเปิด – ปิดเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 -15.30 น. ยกเว้นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันประกอบศาสนกิจละหมาดประจำสับดาห์
สอบถามเพิ่มเติม โทร 0 7333 2402


                   มัสยิดกลางจังหวัดชลบุรี
2.มัสยิกลางจังหวัดชลบุรีปัจจุบันสภาพเศรฐกิจของจังหวัดชลบุรีได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นกึ่งอุตสาหกรรม ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ จึงมีประชาชนย้ายภูมิลำเนาเข้ามาอาศัยเพิ่มเป็นจำนวนมาก ทำให้มัสยิดไม่สามารถรองรับกับจำนวนสัปบุรุษที่เพิ่มมากขึ้น คณะกรรมการจึงประชุมปรึกษาหารือและลงมติให้ทำการสร้างอาคารต่อเติมจากอาคารเดิมออกมาอีก กว้าง 12 เมตร ยาว 12 เมตร โดยมีชั้นลอยสำหรับสุภาพสตรีแยกไว้ต่างหาก แล้วเสร็จเมื่อพ.ศ. 2545 ค่าก่อสร้างประมาณ 2,500,000 (สองล้านห้าแสนบาท ) ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน


3.มัสยิดกลางจังหวัดกระบี่

   
                      มัสยิดกลางจังหวัดกระบี่

                                     
                                        มัสยิดกลางจังหวัดกระบี่
จังหวัดกระบี่ถือได้ว่าเป็นจังหวัดกลุ่มจังหวัดเศรษฐกิจ และจังหวัดการท่องเที่ยว ซึ่งสัดส่วนประชากรในจังหวัดกระบี่ กว่า 45% เป็นชาวมุสลิม ซึ่งจังหวัดกระบี่ถือได้ว่ามีมัสยิดที่สวยงามอยู่หลากหลาย ในหลายพื้นที่ ทั้งศิลปะยุดเก่าและยุคใหม่
พิกัด E 98 52 42.2
N 8 6 33.4


4.มัสยิดกรือเซะ

มัสยิดกรือเซะ
เป็นมัสยิดเก่าแก่ อายุกว่า 200 ปี สันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถาน ที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยอยุธยา มัสยิดกรือเซะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามัสยิดปิตูกรือบัน ชื่อนี้เรียกตามรูปทรงประตูของมัสยิด ซึ่งมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบกอธิคของชาวยุโรป และแบบสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออก


                    มัสยิดกลางจังหวัดนราธิวาส
5.มัสยิดกลางนราธิวาส
มัสยิดกลางหลังเก่านี้ มีชื่อว่า มัสยิดยุมอียะห์ หรือมัสยิดรายอ ตั้งอยู่ทางเหนือของตัวเมืองห่างจากศาลากลางจังหวัดขึ้นไปตามถนนพิชิตบำรุงก่อนถึงหอนาฬิกาเล็กน้อย เป็นมัสยิดไม้แบบสุมาตราสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 เป็นมัสยิดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองนราธิวาส และเป็นที่ตั้งของสุสานเจ้าเมืองเก่า คือ พระยาภูผาภักดี ตามปกติมัสยิดกลางประจำจังหวัดจะมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่เนื่องจากมัสยิดแห่งนี้ค่อนข้างคับแคบ จึงได้มีการสร้างมัสยิดหลังใหม่ขึ้นบริเวณปากแม่น้ำบางนรา อย่างไรก็ตามประชาชนในพื้นที่ยังคงเลื่อมใสศรัทธาในมัสยิดหลังเก่าอยู่ มัสยิดแห่งนี้จึงดำรงฐานะเป็นมัสยิดกลางสืบต่อไป และทำให้นราธิวาสมีมัสยิดกลางประจำจังหวัดด้วยกันถึง 2 แห่ง

                                        
                                                                   มัสยิดมูฮายีรีน (ดินแดง


6.มัสยิดมูฮายีรีน (ดินแดง)
ประวัติมัสยิด เริ่มแรกมัสยิดมู่ฮายีรีน (ดินแดง) มีอาคารที่พักผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์เป็นอาคารไม้ซึ่งในปัจจุบันก็ยังใช้บริการอยู่ ภายใต้อาคารหลังนี้ ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่อาบน้ำละหมาด เมื่อพี่น้องชาวมุสลิมทราบข่าวว่ามัสยิดมู่ฮายีรีนดินแดง (ดินแดง) มีสถานที่พักให้กับคนเดินทางหยุดพักก่อนจะเดินทางไปสนามบินดอนเมือง เป็นสถานที่ที่มีการสัญจรไปมาสะดวกอยู่ในเส้นทางเดียวกับสนามบินดอนเมืองมีอาหารการกินพร้อมเพียง ทำให้พี่น้องชาวมุสลิมหลั่งไหลเข้ามาพักเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นฮัจยีอับดุลเลาะห์ พุ่มอ่อน ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งอิหม่ามมัสยิด มู่ฮายีรีน จึงคิดสร้างอาคารที่พักหลังใหม่ขึ้นเพื่อได้บริการแก่ผู้มาพักได้อย่างพอเพียง ต่อมาท่านอิหม่ามฮัจยี อับดุลเลาะห์ พุ่มอ่อนท่านได้ลาออกจากตำแหน่งอิหม่ามด้วยความชรา คณะกรรมการมัสยิดมู่ฮายีรีน จึงได้เลือกตั้งอิม่ามคนใหม่ ผลปรากฎว่าฮัจยีสมาน พุ่มอ่อน ซึ่งได้รับตำแหน่งอิหม่ามแทนท่านบิดาด้วยความเป็นเอกฉันท์และท่นอิหม่ามฮัจยีสมานก็ได้สานต่อโครงการจัดสร้างอาคารที่พักด้วยความมุมานะ จากคววามรู้และประสบการณ์ในการบริหารอิหม่ามฮัจยีสมาน ได้เริ่มก่อสร้างโครงการดังกล่าวด้วยเงินงบประมาณเพียง 98,000 บาท แต่การก่อสร้างก็ได้ก้าวหน้าไปอย่างฉับไว และเมื่อผลงานได้ประจักษ์แก่สาธารณชน ทำให้พี่น้องมุสลิมหลั่งไหลเข้ามาบริจาคเป็นจำนวนมาก

                                  
                          มัสยิดกลางจังหวัดสตูล
7.มัสยิดกลางจังหวัดสตูล
ดังนั้นฮัจยีอับดุลเลาะห์ พุ่มอ่อน ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งอิหม่ามมัสยิด มู่ฮายีรีน จึงคิดสร้างอาคารที่พักหลังใหม่ขึ้นเพื่อได้บริการแก่ผู้มาพักได้อย่างพอเพียง ต่อมาท่านอิหม่ามฮัจยี อับดุลเลาะห์ พุ่มอ่อนท่านได้ลาออกจากตำแหน่งอิหม่ามด้วยความชรา คณะกรรมการมัสยิดมู่ฮายีรีน จึงได้เลือกตั้งอิม่ามคนใหม่ ผลปรากฎว่าฮัจยีสมาน พุ่มอ่อน ซึ่งได้รับตำแหน่งอิหม่ามแทนท่านบิดาด้วยความเป็นเอกฉันท์และท่นอิหม่ามฮัจยีสมานก็ได้สานต่อโครงการจัดสร้างอาคารที่พักด้วยความมุมานะ จากคววามรู้และประสบการณ์ในการบริหารอิหม่ามฮัจยีสมาน ได้เริ่มก่อสร้างโครงการดังกล่าวด้วยเงินงบประมาณเพียง 98,000 บาท แต่การก่อสร้างก็ได้ก้าวหน้าไปอย่างฉับไว และเมื่อผลงานได้ประจักษ์แก่สาธารณชน ทำให้พี่น้องมุสลิมหลั่งไหลเข้ามาบริจาคเป็นจำนวนมาก

                      มัสยิดกลางอำเภอเบตง
8.มัสยิดกลางอำเภอเบตง ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล อำเภอเบตง เดิมมัสยิดกลางสร้างด้วยเสาไม้กลม 6 ต้น ใบจาก 6 ลายา ( ตับ ) โต๊ะอีหม่ามคนแรกชื่อ บือดีกา การีม เดิมเป็นคนจังหวัดปัตตานีมาสอนมวยซีละ ต่อมาก็ถึงแก่กรรมแล้วย้ายมัสยิดมายังหมู่บ้านกำปงบือตง ปัจจุบันหมู่บ้านเรียกว่ากำปงตือเย๊าะ โตะอีหม่ามชื่อ ฮัจยีวากือจิ ต่อมาย้ายไปตั้งที่หมู่บ้านกำปงยูรอ ฮัจยี ดาราโอ๊ะเป็นอีหม่าม และฮัจยีดารัง ฮัจดือเร๊ะตามลำดับ แล้วต่อมาย้ายมาอยู่ที่ปัจจุบัน


               มัสยิดกลางจังหวัดสงขลา
9.       เมืองสงขลาเป็นชุมชนขนาดใหญ่มาตั้งแต่ในอดีต ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลา ในบริเวณที่เป็นอำเภอสทิงพระในปัจจุบัน เป็นศูนย์กลางการปกครองของดินแดนรอบ ๆ ทะเลสาบสงขลา ในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12–19 มีรูปแบบวัฒนธรรมแบบศรีวิชัย มีการขุดคลองเชื่อมต่อระหว่างตัวเมืองกับทะเลสาบสงขลาและอ่าวไทย และทำการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวจีนในสมัยราชวงศ์ถัง (ประมาณ พ.ศ. 1201–1450)


             มัสยิดกลางจังหวัด พระนครศรีอยุธยา
10. มัสยิดกลางประจำ จ. พระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ที่ ต. คลองตะเคียน อ. พระนครศรีอยุธยา โดยมัสยิดกลางแห่งนี้สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2552