เริ่มแรกเป็นที่ไหนไม่ได้ ต้องที่ซาอุดี้ฯ
สถานที่ที่ชาวมุสลิมทุกคนใฝ่ฝันที่จะไป
สักครั้งในชีวิต นั้นคือ มักกะฮ์,เมกกะ มหานครที่ไม่เคยหลับไหล
งดดราม่าและขอความกรุณามีมารยาทในการแสดงคห
ถ้าเนื้อหาผิดถูกยังไง
เพื่อนสมาชิกมุสลิมช่วยเสริมได้น่ะครับ
มัสยิดฮารอม
เป็นมัสยิดใหญ่ใจกลางมหานครมักกะฮ์ที่เป็นสถานที่ตั้งของกะอบะฮ
หรือบัยตุลลอฮ์(บ้านแห่งพระเจ้า)
รวมทั้งบ่อน้ำซัมซัม
และมะกอมอิบรอฮีม(สถานที่อับราฮัมยืน)
เป็นมัสยิดที่สำคัญที่สุดของอิสลาม มีสถานที่สะแอ(การเดินไปมาระหว่างเนินเขา2ลูก)
คือเนินเขาศอฟา กับเนินเขามัรวะฮ์
สถานที่ละหมาดทุกๆเวลา และเป็นสถานที่ ที่ทำพิธีอุมเราะห์และพิธีฮัจย์
มัสยิดฮารอม ยามค่ำคืน
มัสยิดฮารอม ยามค่ำคืน
กะอ์บะฮ์
สิ่งก่อสร้างรูปทรงสี่เหลี่ยม ลูกบาศก์
กะอ์บะฮ์ตั้งอยู่ในใจกลางมัสยิดฮารอม เป็นกิบลัต (ชุมทิศ, จุดหมายในการผินหน้าไป)
ของมุสลิมขณะละหมาดและเป็นสถานที่ฏอวาฟ
(เวียนรอบ) ในการประกอบพิธีอุมเราะฮ์และฮัจญ์
เป็นสถานที่เคารพสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้าท่านนบีอิบรอฮิม(อับราฮัม)และ
นบีอิสมาอีล(อิสมาแอล)
บุตรชายของท่านช่วยกันสร้างกะบะฮ์ขึ้น
จากรากเดิมที่มีเหลืออยู่ตามที่ได้รับคำสั่งจาก อัลลอฮ์ (ซ.บ) 200ปี
ก่อนคริตกาล
กะบะฮ์ มีชื่อเรียกอยู่หลายอย่าง
ที่ปรากฎอยู่ในกุรอาน เช่น อัลบัยตุลฮารอม อัลมัสญิดิลฮารอม บัยตุลอติก
แต่ชื่อที่รู้จักกันมากที่สุดคือ บัยตุลลอฮ์
แปลว่า บ้านของอัลลอฮ์ คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดว่า กะบะฮ์คือหินดำ
แต่อันที่จริงกะบะฮ์คือ
อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมที่สร้างมาจากก้อนหินจากภูเขา ญาบัลกะบะฮ์ รอบๆเมืองมักกะฮ์
และมีผ้าคลุมกะบะฮ์เป็นสีดำจึงมักเข้าใจว่า
นั้นคือหินดำ
โปรดสังเกตใต้ผ้าคลุมกะบะฮ์ที่มีสีขาวทับอยู่จะเห็นเป็นสีน้ำตาลเข้ม
นั้นแหละครับคือตัวอาคารกะบะฮ์
ลานฎอวาฟ
หินดำ
หินดำหรือ ฮาญารออัสวัด ตั้งอยู่ ณ
มุมหินดำระหว่างประตูกะบะฮ์
เป็นจุดที่กำหนดเริ่มฎอวาฟ(เวียนรอบ)และสิ้นสุดการฎอวาฟ
กะบะฮ์เมื่อปราศจากผ้ากิสวะฮ์(ผ้าคลุม)
ประตูกะบะฮ์
ประตูกะบะฮ์เป็นประตู
ที่สร้างจากไม้มะค่าจากเมืองไทยปิดด้วยเงินและทองคำบริสุทธิ์จากช่างคนไทยเราเหมือนกัน
ที่ได้รับการบูรณะครั้งล่าสุด
สะแอ(เดินไปมาระหว่างเนินเขา2ลูก)
ซอฟา-มัรวะฮ์
ในประวัติศาสตร์ พระนางฮาญัร(ฮาการ์)
วิ่งหาน้ำไปมาระหว่างเนินเขาซอฟากับเนินเขามัรวะฮ์ เพื่อให้อิสมาอีล(อิสมาแอล)
ลูกของท่านได้ดื่มกินเพื่อดับกระหาย
อิสมาอีลที่กำลังกระหายน้ำอย่างจัดนั้นก็ร้องไห้ และเท้าก็ดันพื้นจนเป็นร่อง
สักครู่ก็มีตาน้ำไหลออกมา เมื่อพระนางฮาญัรกลับมาดูลูก ก็เห็นว่าบุตรชายตัวน้อย ๆ
ของตนกำลังก่อทรายกั้นน้ำไม่ให้ไหลไปทางอื่น ปากก็กล่าวว่า ซัมซัม ซัมซัม
แปลว่า ล้อม ๆ ล้อม ๆ ตั้งแต่นั้นมาก็มีชาวอาหรับทราบข่าวของตาน้ำ
ที่กลายเป็นบ่อน้ำที่มีน้ำมหาศาล
ก็พาปักหลักที่นั่นจนแผ่นดินแห่งบักกะฮ์
(ชื่อเดิมของมักกะฮ์)ได้กลายเป็นเมือง และเป็นศูนย์กลางของอารเบีย
การเดินสะแอระหว่างซอฟา และ มัรวะห์
เป็นการแสดงถึงความปรารถนาซึ่งความเมตตาและการช่วยเหลือจากอัลลอฮ์
อีกทั้งการเดินสะแอนั้นยังเป็นการย้อนระลึกถึงประวัติศาสตร์อิสลามที่เกี่ยว
กับพระนางฮาญัร(ฮาการ์)
และท่านนบีอิสมาอีล(อิสมาแอล)อีกด้วย
การเดินสะแอเป็นขั้นตอนที่กำหนดให้ผู้ทำอุมเราะฮ์และพิธีฮัจย์ต้องกระทำ
ภายในลานสะแอ
ซัมซัม บ่อน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง
ของขวัญจากอัลลอฮ์แด่ผู้ศรัทธา
ประวัติบ่อน้ำซัมซัม
เกิดมาจากเรื่องเดียวกับการสะแอ
ซัมซัม เป็นบ่อน้ำที่มีความลึกราว 30
เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 1.08 และ 2.66
เมตร ที่มีตาน้ำไหลแรง
มีระดับน้ำ 3.23
เมตรใต้ระดับพื้นดิน ได้มีการทดลองดูดน้ำซัมซัมออกจากบ่อด้วยปั๊มน้ำที่มีความแรง 8000
ลิตรต่อวินาที
เป็นเวลามากกว่า 24
ชม. ปรากฏว่าน้ำได้ลดลง 12.72 เมตรใต้ระดับพื้นดิน
เมื่อเพิ่มเวลาดูดน้ำออกอีกไปอีก
ปรากฏว่าน้ำในบ่อลดเหลือ 13.39
เมตรใต้ระดับพื้นดิน และก็ไม่ลดอีกเลย แม้จะดูดน้ำออกตลอดเวลาก็ตาม
เมื่อปั๊มน้ำหยุดทำงาน
น้ำในบ่อก็เอ่อขึ้นสู่ระดับปกติภายในเวลาเพียงแค่ 11
นาทีเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า
รอบ ๆ ข้างบ่อมีชั้นหินอุ้มน้ำ (aquifer)
ที่มีน้ำสำรองมากมายไม่มีวันเหือดแห้ง
ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าบ่อน้ำซัมซัมเคยแห้งเลย
และเพียงพอสำหรับผู้คนเป็นล้านที่มาดื่มและอาบ
ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็ตาม
บ่อน้ำซัมซัมในปัจจุบันถูกปิดไว้ในห้องกระจกในห้องใต้ดิน
ไม่ให้ผู้คนทั่วไปเข้าไปตักน้ำเหมือนเมื่อก่อน
น้ำซัมซัมถูกสูบออกมานอกมัสญิด
เพื่อให้ผู้คนได้บรรจุภาชนะพากลับไปตามที่ต้องการ เจ้าหน้าที่จะบรรจุน้ำ
ในคูลเลอร์ให้ผู้คนในมัสญิดฮารอมได้ดื่มตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังขนส่งไปยังมัสยิดนาบาวีย์ในมาดีนะฮ์ด้วย
มะกอมอิบรอฮีม(สถานที่ยืนของอับราฮัม)
ก้อนหินที่เป็นที่ยืนของท่านนบีอิบรอฮีม
ขณะที่ท่านก่อส่วนสูงของอาคาร กะอ์บะฮ์
ซึ่งมีรอยเท้าของท่านปรากฎอยู่ในเห็นจนถึงทุกวันนี้วัน
มะกอมอิบรอฮีม ซึ่งทางซาอุดี้ฯ
ได้ทำที่ครอบมะกอมซึ่งทำด้วยทองคำครอบไว้
เมาลิดนบีมุฮัมมัด(สถานที่ประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด)
ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นห้องสมุดของมักกะฮ์
ทุ่งอารอฟะฮ์
สถานที่นบีอดัม กับพระนางฮาวา(เอวา)
ชายหญิงคนแรก
มาพบเจอกันครั้งแรกบนโลก หลังจากท่านทั้งสอง
ถูกอัลลอฮขับไล่ออกจากสวรรค์ อัลลอฮนำนบีอดัม
ลงมาไว้ ณ แผ่นดินอินเดีย พระนางฮาวาถูกไว้ ณ
ญิดดะห์ (เจดดาห์)ซาอุดี้ฯ ส่วนอิบลีส(ซาตาน)
ถูกไว้ในอิรัค ในทุ่งอารอฟะฮ์ จะมีภูเขาชื่อ
ญะบัลเราะห์มะฮ์
ซึ่งเป็นภูเขาที่นบีอดัมได้เจอกับพระนางฮาวา
ปัจจุบันทุ่งอารอฟะฮ์ เป็นเงื่อนไขการทำฮัจย์ที่
กำหนดให้ผู้แสวงบุญ(ฮุจยาต)ทุกคน
ต้องมาวุกุฟ(พัก,สงบนิ่ง) ขอดุอา อภัยโทษ ณ สถานที่แห่งนี้
ทุ่งอารอฟะฮ์ อีกรูป
ทุ่งมีนา
ทุ่งมีนา ยาวสุดลูกหูลูกตา
เป็นสถานที่ให้บรรดาผู้แสวงบุญทุกๆคนที่ทำฮัจย์ ต้องมาขว้างเสาหิน จำนวน3เสา
เสาล่ะ7ก้อน ณ สถานที่แห่งนี้
และเป็นที่มาของการเชืดสัตว์พลีทานของชาวมุสลิม ในวันอิดิลอัฎฮา (อีดใหญ่)
เมื่อถึงเทศกาลของการทำฮัจย์
มุสลิมที่แสวงบุญทุกคนจะเดินทางมาค้างแรม ณ ทุ่งมีนา เป็นเวลา 3
วัน หลังวันอีดใหญ่ไป
ขอเล่าแบบคราวๆเพราะประวัติยาวมากๆ
ตามประวัติศาสตร์อิสลามที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์กุรอาน
อัลลอฮฺทรงต้องการ
ที่จะทดสอบความศรัทธาของนบีอิบรอฮีม (หรืออับราฮัม) ดังนั้น คืนหนึ่งอัลลอฮฺ
จึงได้ทรงทำให้นบีอิบรอฮีม
ฝันว่าพระองค์ทรงมีบัญชาให้ท่านเชือดอิสมาอีล(อิสมาแอล)ลูกชายของท่านเป็น
การพลีถวายให้แก่พระองค์ ในวันรุ่งขึ้น นบีอิบรอฮีม
จึงได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้อิสมาอีลฟัง อิสมาอีลมิได้ตกใจกลัวต่อ
คำบอกเล่าดังกล่าวแต่ประการใด
ซ้ำยังบอกแกนบีอิบรอฮีมผู้เป็นพ่อว่าหากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
แล้วก็ขอให้พ่อปฏิบัติตามและ
พ่อจะพบว่าฉันเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้อดทน" (กุรอาน 37:102)
ดังนั้น
นบีอิบรอฮีมจึงได้นำอิสมาอีลไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อทำตามคำสั่งของอัลลอฮฺ
ในระหว่างทางนบีอิบรอฮีม
ได้ถูกมาร้าย(ซาตาน)ล่อลวงมิให้ท่านทำตามคำสั่งถึงสามครั้งในที่ต่างๆกัน
แต่ท่านก็สามารถที่จะเอาชนะ
การล่อลวงของมารร้ายและใช้หินขว้างหินขับไล่มันไป
3ครั้ง (ที่มาของการขว้างเสาหินทั้ง3ต้น)
ในที่สุด
เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งนบีอิบรอฮีม
จะใช้เป็นที่เชือดบุตรและเตรียมจะลงมือเชือด
อัลลอฮฺก็ทรงเห็นว่านบีอิบรอฮีมเป็นผู้ศรัทธาที่พร้อมจะ
ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์จริง
พระองค์จึงได้มีบัญชาให้เทวทูตญิบรีล(กาเบรียล)
นำแกะมาให้นบีอิบรอฮีมเชือดแทน ลูกชายของท่านการเชือดสัตว์พลี
จึงเป็นที่ปฏิบัติอย่างหนึ่งในการประกอบพิธีฮัจญ์
ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้น ให้มุสลิมได้รำลึกถึงวีรประวัติแห่งความศรัทธา
ต่อพระเจ้าและการเสียสละ
อันสูงส่งของนบีอิบรอฮีมและนบีอิสมาอีล หลังจากสมัยนบีอิบรอฮีม
การทำกุรบานได้ผิดไปจากเจตนารมณ์และการปฏิบัติดั้งเดิม
กล่าวคือพวกชาวอาหรับ ก่อนหน้าสมัยท่านนบีมุฮัมมัด
บางพวกได้เชือดสัตว์พลีของจริงอยู่
แต่เจตนาในการเชือดนั้นเพื่อเป็นการ
เซ่นสรวงเทวรูปที่พวกตนเคารพสักการะและเอาเลือดของสัตว์
ที่ตนเชือดนั้นสาดไปที่กำแพงกะบะฮ์
ส่วนเนื้อก็แจกให้คนจนเอาไปกิน มาถึงสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด
หลังจากที่ได้พิชิตมักกะฮ์
และทำลายเทวรูปเจว็ดรอบกะอฺบะฮลงจนหมดสิ้น
แล้วท่านก็ได้ปฏิรูปการทำฮัจย์ให้กลับสู่แนวทางที่ถูกต้อง
การทำกุรบานซึ่งเป็นหนึ่งในข้อปฏิบัติของการทำฮัจย์ก็ได้ถูกปฏิรูปให้กลับเข้าสู่เจตนาเดิมและวิธีการปฏิบัติที่แท้จริงของมัน
นั่นคือ การอุทิศให้แก่อัลลอฮฺ
ปัจจุบันสถานที่ไปขว้างเสาหินเรียกว่าญามาร๊อต
ได้มีการขยายปรับปรุงออกไปอย่างมาก เพื่อรองรับฮุจยาดที่มีเพิ่มขึ้นทุกๆปี
เสาหิน3ต้น ที่ปรากฎ กายของชัยตอน(ซาตาน)
ที่นบีอิบรอฮีมได้ขว้างหินไล่ขณะจะนำอิสมาอีลไปทำกุรบาน/
มาดีนะฮ์ อัลมูเนาวเราะฮ์
นครของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล)
มัสยิดกุบาอ์ มัสยิดหลังแรกในอิสลาม
เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด หยุดพักที่ตำบลกุบาอ์
ท่านก็ได้สร้างมัสยิดแห่งนี้ โดยท่านลงมือสร้างด้วยตัวท่านเอง
ร่วมกับบรรดาซอฮาบะห์(สหายของท่าน)
มัสยิดนาบาวีย์
เป็นมัสยิดที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ2ของอิสลาม
รองจากอัลฮารอม ที่มักกะฮ์
เป็นหนึ่งมัสยิดที่สร้างในสมัยท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล)
หลังจากท่านฮิจเราะฮ์(อพยพ) จากนครมักกะฮ์ มาสู่นครมาดีนะฮ์
หน้ามัสยิด
มัสยิดกิบละตัยน์
ที่มาของชื่อมัสยิดกิบละตัยน์(สองทิศ) ก็คือ
ในระยะแรกนั้นท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) และบรรดามุสลิม
เมื่อละหมาดจะหันหน้าไปทางบัยตุลมักดิสหรือเยรูซาเลม วันหนึ่งท่านนบีได้มาละหมาดปกติ
ท่านหันหน้าไปทางบัยตุลมักดิส
เช่นที่เคยปฏิบัติมา
ขณะที่ท่านทำละหมาดอยู่นั้น ได้มีโองการลงมายังท่านให้เปลี่ยนทิศจากบัยตุลมักดิสไป
เป็นบัยตุลลอฮ์ที่นครมักกะห์แทน ท่านจึงได้หันหน้าไปสู่บัยตุลลอฮ์ทันทีสำหรับรอกาอัต(จำนวนครั้งละหมาด)ที่เหลือ
และมุสลิมก็หันหน้า
ไปทางมักกะฮ์จนถึงปัจจุบัน
ที่มา : http://pantip.com/