เครดิต...http://www.meepoohclub.com/index.php?topic=649.0

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

มัสยิดสำคัญและสถานที่ประวัติศาสตร์ในโลกอิสลาม




เริ่มแรกเป็นที่ไหนไม่ได้ ต้องที่ซาอุดี้ฯ
สถานที่ที่ชาวมุสลิมทุกคนใฝ่ฝันที่จะไป สักครั้งในชีวิต นั้นคือ มักกะฮ์,เมกกะ มหานครที่ไม่เคยหลับไหล
งดดราม่าและขอความกรุณามีมารยาทในการแสดงคห

ถ้าเนื้อหาผิดถูกยังไง เพื่อนสมาชิกมุสลิมช่วยเสริมได้น่ะครับ
                                     
มัสยิดฮารอม
เป็นมัสยิดใหญ่ใจกลางมหานครมักกะฮ์ที่เป็นสถานที่ตั้งของกะอบะฮ หรือบัยตุลลอฮ์(บ้านแห่งพระเจ้า)  รวมทั้งบ่อน้ำซัมซัม
และมะกอมอิบรอฮีม(สถานที่อับราฮัมยืน) เป็นมัสยิดที่สำคัญที่สุดของอิสลาม มีสถานที่สะแอ(การเดินไปมาระหว่างเนินเขา2ลูก)
คือเนินเขาศอฟา กับเนินเขามัรวะฮ์ สถานที่ละหมาดทุกๆเวลา และเป็นสถานที่ ที่ทำพิธีอุมเราะห์และพิธีฮัจย์
                                   

มัสยิดฮารอม ยามค่ำคืน


                                    
                                    


มัสยิดฮารอม ยามค่ำคืน

                                    



กะอ์บะฮ์ 
สิ่งก่อสร้างรูปทรงสี่เหลี่ยม ลูกบาศก์ กะอ์บะฮ์ตั้งอยู่ในใจกลางมัสยิดฮารอม เป็นกิบลัต (ชุมทิศ, จุดหมายในการผินหน้าไป)
ของมุสลิมขณะละหมาดและเป็นสถานที่ฏอวาฟ (เวียนรอบ) ในการประกอบพิธีอุมเราะฮ์และฮัจญ์
เป็นสถานที่เคารพสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้าท่านนบีอิบรอฮิม(อับราฮัม)และ นบีอิสมาอีล(อิสมาแอล)
บุตรชายของท่านช่วยกันสร้างกะบะฮ์ขึ้น จากรากเดิมที่มีเหลืออยู่ตามที่ได้รับคำสั่งจาก อัลลอฮ์ (ซ.บ) 200ปี ก่อนคริตกาล
กะบะฮ์ มีชื่อเรียกอยู่หลายอย่าง ที่ปรากฎอยู่ในกุรอาน เช่น อัลบัยตุลฮารอม อัลมัสญิดิลฮารอม บัยตุลอติก
แต่ชื่อที่รู้จักกันมากที่สุดคือ บัยตุลลอฮ์ แปลว่า บ้านของอัลลอฮ์ คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดว่า กะบะฮ์คือหินดำ
แต่อันที่จริงกะบะฮ์คือ อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมที่สร้างมาจากก้อนหินจากภูเขา ญาบัลกะบะฮ์ รอบๆเมืองมักกะฮ์
และมีผ้าคลุมกะบะฮ์เป็นสีดำจึงมักเข้าใจว่า นั้นคือหินดำ
โปรดสังเกตใต้ผ้าคลุมกะบะฮ์ที่มีสีขาวทับอยู่จะเห็นเป็นสีน้ำตาลเข้ม นั้นแหละครับคือตัวอาคารกะบะฮ์


                                  
                                  


                                                                              ลานฎอวาฟ 
                                    



หินดำ


หินดำหรือ ฮาญารออัสวัด ตั้งอยู่ ณ มุมหินดำระหว่างประตูกะบะฮ์ เป็นจุดที่กำหนดเริ่มฎอวาฟ(เวียนรอบ)และสิ้นสุดการฎอวาฟ
                                 

กะบะฮ์เมื่อปราศจากผ้ากิสวะฮ์(ผ้าคลุม)

                                            



ประตูกะบะฮ์

ประตูกะบะฮ์เป็นประตู ที่สร้างจากไม้มะค่าจากเมืองไทยปิดด้วยเงินและทองคำบริสุทธิ์จากช่างคนไทยเราเหมือนกัน
ที่ได้รับการบูรณะครั้งล่าสุด


                                     
                                     


สะแอ(เดินไปมาระหว่างเนินเขา2ลูก) ซอฟา-มัรวะฮ์
ในประวัติศาสตร์  พระนางฮาญัร(ฮาการ์) วิ่งหาน้ำไปมาระหว่างเนินเขาซอฟากับเนินเขามัรวะฮ์ เพื่อให้อิสมาอีล(อิสมาแอล)
ลูกของท่านได้ดื่มกินเพื่อดับกระหาย อิสมาอีลที่กำลังกระหายน้ำอย่างจัดนั้นก็ร้องไห้ และเท้าก็ดันพื้นจนเป็นร่อง สักครู่ก็มีตาน้ำไหลออกมา เมื่อพระนางฮาญัรกลับมาดูลูก ก็เห็นว่าบุตรชายตัวน้อย ๆ ของตนกำลังก่อทรายกั้นน้ำไม่ให้ไหลไปทางอื่น ปากก็กล่าวว่า ซัมซัม ซัมซัม
แปลว่า ล้อม ๆ ล้อม ๆ ตั้งแต่นั้นมาก็มีชาวอาหรับทราบข่าวของตาน้ำ ที่กลายเป็นบ่อน้ำที่มีน้ำมหาศาล
ก็พาปักหลักที่นั่นจนแผ่นดินแห่งบักกะฮ์ (ชื่อเดิมของมักกะฮ์)ได้กลายเป็นเมือง และเป็นศูนย์กลางของอารเบีย


                                    
                                    


การเดินสะแอระหว่างซอฟา และ มัรวะห์ เป็นการแสดงถึงความปรารถนาซึ่งความเมตตาและการช่วยเหลือจากอัลลอฮ์
อีกทั้งการเดินสะแอนั้นยังเป็นการย้อนระลึกถึงประวัติศาสตร์อิสลามที่เกี่ยว กับพระนางฮาญัร(ฮาการ์)


และท่านนบีอิสมาอีล(อิสมาแอล)อีกด้วย การเดินสะแอเป็นขั้นตอนที่กำหนดให้ผู้ทำอุมเราะฮ์และพิธีฮัจย์ต้องกระทำ


ภายในลานสะแอ
                                        


ซัมซัม บ่อน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง ของขวัญจากอัลลอฮ์แด่ผู้ศรัทธา
                               


ประวัติบ่อน้ำซัมซัม เกิดมาจากเรื่องเดียวกับการสะแอ
ซัมซัม เป็นบ่อน้ำที่มีความลึกราว 30 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 1.08 และ 2.66 เมตร ที่มีตาน้ำไหลแรง
มีระดับน้ำ 3.23 เมตรใต้ระดับพื้นดิน ได้มีการทดลองดูดน้ำซัมซัมออกจากบ่อด้วยปั๊มน้ำที่มีความแรง 8000 ลิตรต่อวินาที
เป็นเวลามากกว่า 24 ชม. ปรากฏว่าน้ำได้ลดลง 12.72 เมตรใต้ระดับพื้นดิน เมื่อเพิ่มเวลาดูดน้ำออกอีกไปอีก
ปรากฏว่าน้ำในบ่อลดเหลือ 13.39 เมตรใต้ระดับพื้นดิน และก็ไม่ลดอีกเลย แม้จะดูดน้ำออกตลอดเวลาก็ตาม
เมื่อปั๊มน้ำหยุดทำงาน น้ำในบ่อก็เอ่อขึ้นสู่ระดับปกติภายในเวลาเพียงแค่ 11 นาทีเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า
รอบ ๆ ข้างบ่อมีชั้นหินอุ้มน้ำ (aquifer) ที่มีน้ำสำรองมากมายไม่มีวันเหือดแห้ง
ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าบ่อน้ำซัมซัมเคยแห้งเลย
และเพียงพอสำหรับผู้คนเป็นล้านที่มาดื่มและอาบ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็ตาม
บ่อน้ำซัมซัมในปัจจุบันถูกปิดไว้ในห้องกระจกในห้องใต้ดิน ไม่ให้ผู้คนทั่วไปเข้าไปตักน้ำเหมือนเมื่อก่อน
น้ำซัมซัมถูกสูบออกมานอกมัสญิด เพื่อให้ผู้คนได้บรรจุภาชนะพากลับไปตามที่ต้องการ เจ้าหน้าที่จะบรรจุน้ำ
ในคูลเลอร์ให้ผู้คนในมัสญิดฮารอมได้ดื่มตลอดเวลา นอกจากนี้ยังขนส่งไปยังมัสยิดนาบาวีย์ในมาดีนะฮ์ด้วย
                                      



                                      


มะกอมอิบรอฮีม(สถานที่ยืนของอับราฮัม)
ก้อนหินที่เป็นที่ยืนของท่านนบีอิบรอฮีม ขณะที่ท่านก่อส่วนสูงของอาคาร กะอ์บะฮ์ ซึ่งมีรอยเท้าของท่านปรากฎอยู่ในเห็นจนถึงทุกวันนี้วัน
                                           


มะกอมอิบรอฮีม ซึ่งทางซาอุดี้ฯ ได้ทำที่ครอบมะกอมซึ่งทำด้วยทองคำครอบไว้ 
                                                    


เมาลิดนบีมุฮัมมัด(สถานที่ประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด)
ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นห้องสมุดของมักกะฮ์
                                          
ทุ่งอารอฟะฮ์
สถานที่นบีอดัม กับพระนางฮาวา(เอวา) ชายหญิงคนแรก
มาพบเจอกันครั้งแรกบนโลก หลังจากท่านทั้งสอง ถูกอัลลอฮขับไล่ออกจากสวรรค์ อัลลอฮนำนบีอดัม
ลงมาไว้ ณ แผ่นดินอินเดีย พระนางฮาวาถูกไว้ ณ ญิดดะห์ (เจดดาห์)ซาอุดี้ฯ ส่วนอิบลีส(ซาตาน)
ถูกไว้ในอิรัค ในทุ่งอารอฟะฮ์ จะมีภูเขาชื่อ ญะบัลเราะห์มะฮ์
ซึ่งเป็นภูเขาที่นบีอดัมได้เจอกับพระนางฮาวา ปัจจุบันทุ่งอารอฟะฮ์ เป็นเงื่อนไขการทำฮัจย์ที่


กำหนดให้ผู้แสวงบุญ(ฮุจยาต)ทุกคน ต้องมาวุกุฟ(พัก,สงบนิ่ง) ขอดุอา อภัยโทษ ณ สถานที่แห่งนี้

                                           


                                                                              ทุ่งอารอฟะฮ์ อีกรูป
                                        
ทุ่งมีนา

ทุ่งมีนา ยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นสถานที่ให้บรรดาผู้แสวงบุญทุกๆคนที่ทำฮัจย์ ต้องมาขว้างเสาหิน จำนวน3เสา
เสาล่ะ7ก้อน ณ สถานที่แห่งนี้ และเป็นที่มาของการเชืดสัตว์พลีทานของชาวมุสลิม ในวันอิดิลอัฎฮา (อีดใหญ่)
เมื่อถึงเทศกาลของการทำฮัจย์ มุสลิมที่แสวงบุญทุกคนจะเดินทางมาค้างแรม ณ ทุ่งมีนา เป็นเวลา 3 วัน หลังวันอีดใหญ่ไป


                                            
                                            


ขอเล่าแบบคราวๆเพราะประวัติยาวมากๆ ตามประวัติศาสตร์อิสลามที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์กุรอาน
อัลลอฮฺทรงต้องการ ที่จะทดสอบความศรัทธาของนบีอิบรอฮีม (หรืออับราฮัม) ดังนั้น คืนหนึ่งอัลลอฮฺ
จึงได้ทรงทำให้นบีอิบรอฮีม ฝันว่าพระองค์ทรงมีบัญชาให้ท่านเชือดอิสมาอีล(อิสมาแอล)ลูกชายของท่านเป็น
การพลีถวายให้แก่พระองค์ ในวันรุ่งขึ้น นบีอิบรอฮีม จึงได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้อิสมาอีลฟัง อิสมาอีลมิได้ตกใจกลัวต่อ
คำบอกเล่าดังกล่าวแต่ประการใด ซ้ำยังบอกแกนบีอิบรอฮีมผู้เป็นพ่อว่าหากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า


แล้วก็ขอให้พ่อปฏิบัติตามและ พ่อจะพบว่าฉันเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้อดทน" (กุรอาน 37:102)
                                       


ดังนั้น นบีอิบรอฮีมจึงได้นำอิสมาอีลไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อทำตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ในระหว่างทางนบีอิบรอฮีม
ได้ถูกมาร้าย(ซาตาน)ล่อลวงมิให้ท่านทำตามคำสั่งถึงสามครั้งในที่ต่างๆกัน แต่ท่านก็สามารถที่จะเอาชนะ
การล่อลวงของมารร้ายและใช้หินขว้างหินขับไล่มันไป 3ครั้ง (ที่มาของการขว้างเสาหินทั้ง3ต้น)
ในที่สุด เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งนบีอิบรอฮีม จะใช้เป็นที่เชือดบุตรและเตรียมจะลงมือเชือด
อัลลอฮฺก็ทรงเห็นว่านบีอิบรอฮีมเป็นผู้ศรัทธาที่พร้อมจะ ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์จริง
พระองค์จึงได้มีบัญชาให้เทวทูตญิบรีล(กาเบรียล) นำแกะมาให้นบีอิบรอฮีมเชือดแทน ลูกชายของท่านการเชือดสัตว์พลี
จึงเป็นที่ปฏิบัติอย่างหนึ่งในการประกอบพิธีฮัจญ์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้น ให้มุสลิมได้รำลึกถึงวีรประวัติแห่งความศรัทธา
ต่อพระเจ้าและการเสียสละ อันสูงส่งของนบีอิบรอฮีมและนบีอิสมาอีล หลังจากสมัยนบีอิบรอฮีม
การทำกุรบานได้ผิดไปจากเจตนารมณ์และการปฏิบัติดั้งเดิม กล่าวคือพวกชาวอาหรับ ก่อนหน้าสมัยท่านนบีมุฮัมมัด
บางพวกได้เชือดสัตว์พลีของจริงอยู่ แต่เจตนาในการเชือดนั้นเพื่อเป็นการ เซ่นสรวงเทวรูปที่พวกตนเคารพสักการะและเอาเลือดของสัตว์
ที่ตนเชือดนั้นสาดไปที่กำแพงกะบะฮ์ ส่วนเนื้อก็แจกให้คนจนเอาไปกิน มาถึงสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด หลังจากที่ได้พิชิตมักกะฮ์
และทำลายเทวรูปเจว็ดรอบกะอฺบะฮลงจนหมดสิ้น แล้วท่านก็ได้ปฏิรูปการทำฮัจย์ให้กลับสู่แนวทางที่ถูกต้อง
การทำกุรบานซึ่งเป็นหนึ่งในข้อปฏิบัติของการทำฮัจย์ก็ได้ถูกปฏิรูปให้กลับเข้าสู่เจตนาเดิมและวิธีการปฏิบัติที่แท้จริงของมัน
นั่นคือ การอุทิศให้แก่อัลลอฮฺ
ปัจจุบันสถานที่ไปขว้างเสาหินเรียกว่าญามาร๊อต ได้มีการขยายปรับปรุงออกไปอย่างมาก เพื่อรองรับฮุจยาดที่มีเพิ่มขึ้นทุกๆปี
                                      



                                       


เสาหิน3ต้น ที่ปรากฎ กายของชัยตอน(ซาตาน) ที่นบีอิบรอฮีมได้ขว้างหินไล่ขณะจะนำอิสมาอีลไปทำกุรบาน/


มาดีนะฮ์ อัลมูเนาวเราะฮ์ นครของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล)

มัสยิดกุบาอ์ มัสยิดหลังแรกในอิสลาม
เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด หยุดพักที่ตำบลกุบาอ์ ท่านก็ได้สร้างมัสยิดแห่งนี้ โดยท่านลงมือสร้างด้วยตัวท่านเอง
ร่วมกับบรรดาซอฮาบะห์(สหายของท่าน)


                                         
                                         
  
มัสยิดนาบาวีย์
เป็นมัสยิดที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ2ของอิสลาม รองจากอัลฮารอม ที่มักกะฮ์
เป็นหนึ่งมัสยิดที่สร้างในสมัยท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล) หลังจากท่านฮิจเราะฮ์(อพยพ) จากนครมักกะฮ์ มาสู่นครมาดีนะฮ์
                                         
                                            
หน้ามัสยิด
                                                      


มัสยิดกิบละตัยน์
                                                    
ที่มาของชื่อมัสยิดกิบละตัยน์(สองทิศ) ก็คือ ในระยะแรกนั้นท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) และบรรดามุสลิม
เมื่อละหมาดจะหันหน้าไปทางบัยตุลมักดิสหรือเยรูซาเลม  วันหนึ่งท่านนบีได้มาละหมาดปกติ ท่านหันหน้าไปทางบัยตุลมักดิส
เช่นที่เคยปฏิบัติมา ขณะที่ท่านทำละหมาดอยู่นั้น ได้มีโองการลงมายังท่านให้เปลี่ยนทิศจากบัยตุลมักดิสไป
เป็นบัยตุลลอฮ์ที่นครมักกะห์แทน ท่านจึงได้หันหน้าไปสู่บัยตุลลอฮ์ทันทีสำหรับรอกาอัต(จำนวนครั้งละหมาด)ที่เหลือ และมุสลิมก็หันหน้า
ไปทางมักกะฮ์จนถึงปัจจุบัน





ที่มา : http://pantip.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น